รพ.กรุงเทพ อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นและช่วยคลอดฉุกเฉินสำหรับตำรวจจราจร เสริมทักษะ เพิ่มขีดความสามารถ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์วิกฤติ
โรงพยาบาลกรุงเทพร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจรจัดอบรม “ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและช่วยคลอดฉุกเฉิน” ครั้งที่ 10 ประจำปี 2568 ให้กับตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร เพื่อให้พร้อมดูแลประชาชนท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ และหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอดก่อนนำส่งโรงพยาบาล รวมทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) พร้อมสาธิตการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) อย่างถูกวิธี ในวันที่ 21 กันยายน 2568
นายแพทย์เอกกิตติ์ สุรการ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ มีความยินดีที่ได้จัดโครงการอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นและช่วยคลอดฉุกเฉินสำหรับตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ครอบคลุมหัวข้อสำคัญเพื่อช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้แก่ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยคลอดฉุกเฉิน ตลอดจนการดูแลทารกแรกเกิดก่อนนำส่งโรงพยาบาล โดยมีทีมแพทย์และบุคลากรผู้ชำนาญการของโรงพยาบาลมาให้ความรู้เสริมทักษะผ่านการบรรยาย สาธิต และฝึกปฏิบัติจริง เพื่อให้นำไปประยุกต์ใช้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ทุกเวลา
นายแพทย์วีรวิชญ์ พรวัฒนไกรเลิศ สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรีกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินผู้หญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด สิ่งแรกที่ต้องทำคือประเมินว่าใกล้คลอดหรือไม่ ด้วยการถามคำถาม เช่น เคยคลอดบุตรหรือไม่ เจ็บถี่แค่ไหน น้ำเดินหรือไม่ ปวดคล้ายเบ่งหรือไม่ ในผู้หญิงที่เคยคลอดบุตรมาแล้วมีลมเบ่งเหมือนอยากถ่ายมักคลอดอย่างรวดเร็ว ต้องเตรียมช่วยคลอดทันที โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นคือ ถุงมือปลอดเชื้อ ลูกยางแดง ผ้าเช็ดและห่อตัวทารก เมื่อทารกคลอดออกมาแล้วให้ประคองศีรษะและลำตัวไม่ให้ตกกระแทกพื้น จากนั้นดูดเมือกจากปากและจมูกทารกเพื่อป้องกันการสำลัก เช็ดตัวและให้ความอบอุ่นทารก สำหรับสายสะดือถ้าไม่มีอุปกรณ์ปลอดเชื้อควรไปตัดสายสะดือที่โรงพยาบาล ส่วนในผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ยังไม่มีอาการคลอดทันทีหรือคาดว่าทารกจะคลอดภายในไม่เกิน 5 นาที แต่ไม่มีแพทย์หรือโรงพยาบาลใกล้เคียงรองรับ ห้ามเคลื่อนย้ายผู้คลอด ให้เตรียมอุปกรณ์และทำการช่วยคลอดฉุกเฉินเพื่อให้แม่และลูกปลอดภัย
พญ.สมจินตนา เอี่ยมสรรพางค์ ผู้อำนวยการแผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานมีความสำคัญอย่างมากในการเตรียมความพร้อมเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยผู้ที่หมดสติและอาจมีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจำเป็นจะต้องได้รับการกู้ชีพด้วยการกดหน้าอกหรือ CPR ร่วมกับการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED - Automated External Defibrillator) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตก่อนบุคลากรทางการแพทย์มาถึง ซึ่งการกู้ชีพต้องทำการกดหน้าอกจำนวน 100 - 120 ครั้งต่อนาที และต้องใช้เครื่อง AED ในช่วงไม่กี่นาทีแรกหลังเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น 2 - 3 เท่า การเสริมทักษะให้ตำรวจจราจร ผู้พบเห็นเหตุการณ์ หรือประชาชนทั่วไปจึงมีความสำคัญมาก เพราะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์วิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก พ.ต.อ.จิรกฤต จารุณภัทร รองผู้บังคับการตำรวจจราจร พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประทีป ศรีหรั่งไพโรจน์ ผู้กำกับการ 6 ปฏิบัติการพิเศษการจราจร (จราจรโครงการพระราชดำริ) มาร่วมเป็นประธานเปิดงาน นำทีมตำรวจจราจรมาเข้ารับการอบรมในครั้งนี้ นับเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก