สมาคมประกันชีวิตไทยเผยภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรก 2568 เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้ารับมือความเสี่ยงรอบด้าน

   เมื่อ : 31 ก.ค. 2568

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตไทยช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2568 (มกราคม – มิถุนายน) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 326588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) อยู่ที่ 94916 ล้านบาท เติบโต 7.38% ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) อยู่ที่ 231672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.88% และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์อยู่ที่ 82%

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย

 

เบี้ยรายใหม่โตแรง ช่องทางดิจิทัลขยายตัวเด่น

ในส่วนของเบี้ยรายใหม่ แยกเป็นเบี้ยปีแรก 62938 ล้านบาท (โต 9.32%) และเบี้ยจ่ายครั้งเดียว 31978 ล้านบาท (โต 3.77%) โดยช่องทางจัดจำหน่ายหลักยังคงเป็นตัวแทนประกันชีวิต (Agency) ที่มีเบี้ยรวม 163482 ล้านบาท หรือ 50.06% ของตลาด ตามด้วย Bancassurance 127971 ล้านบาท (39.18%) และช่องทางนายหน้า (Broker) 18987 ล้านบาท (5.81%)

 

ช่องทางที่เติบโตโดดเด่น คือ ดิจิทัล (Digital) ซึ่งมีเบี้ยรวม 750 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28.21% สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น

 

ประกันสุขภาพ – บำนาญ – ควบการลงทุน ยังแรง

ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพยังครองความนิยมสูงสุด โดยมีเบี้ยรับรวม 61219 ล้านบาท โตถึง 18.99% คิดเป็น 18.75% ของตลาด จากการที่ประชาชนให้ความสำคัญกับสุขภาพและค่ารักษาที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง (Medical Inflation)

 

ขณะเดียวกัน ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ก็เติบโตดีที่ 6241 ล้านบาท (โต 9.51%) และประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Link) มีเบี้ยรวม 19412 ล้านบาท (โต 7.54%) สะท้อนความต้องการของนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนพร้อมความคุ้มครองในสภาวะเศรษฐกิจผันผวน

คุณสาระ ล่ำซำ เป็นอุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย

 

ปรับตัวสู้ความท้าทายรอบด้าน – ก้าวทันมาตรฐานใหม่

แม้ภาพรวมธุรกิจเติบโตตามเป้าที่เคยคาดไว้ที่ 2–3% แต่สมาคมฯ มองว่าธุรกิจยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ภาระหนี้ครัวเรือน ตลอดจนสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการภาษีต่างประเทศ ที่อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชน

 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด และการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี TFRS 17 ที่เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี ส่งผลให้บริษัทประกันต้องเร่งปรับระบบการบริหาร การรับรู้รายได้ และความโปร่งใสทางบัญชีให้มากขึ้น

 

ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและแนวคิด ESG

สมาคมฯ ย้ำความสำคัญของการยกระดับการแข่งขัน ด้วยการนำเทคโนโลยี เช่น Big Data AI และ Data Analytics มาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ บริการ และการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

 

พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าเชิงรุกผสานแนวคิด ESG (Environment Social Governance) เข้ากับการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาแบบประกันที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม ไปจนถึงธรรมาภิบาลที่โปร่งใส เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจและสังคมโดยรวม

“ธุรกิจประกันชีวิตต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ไม่เพียงเพื่อรักษาการเติบโต แต่เพื่อเป็นรากฐานของการสร้างคุณค่าให้กับประชาชนและเศรษฐกิจในระยะยาว” นางนุสร  กล่าวทิ้งท้าย

 

หมายเหตุ 

กรณีสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน

กรมธรรม์ประกันชีวิตรายเดี่ยวจะให้ความคุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี ยกเว้นการฆ่าตัวตายโดยเจตนา ภายใน 1 ปี หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา 

 

ส่วนสัญญาเพิ่มเติมเช่นประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ต้องดูรายละเอียดในสัญญา แต่ละสัญญาของแต่ละบริษัทด้วย

 

อย่างไรก็ตามบริษัทประกันชีวิตอาจพิจารณาจ่ายสินไหมกรุณาได้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละบริษัทซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับแจ้งว่ามีการพิจารณาจ่ายสินไหมกรุณาไปบ้างแล้ว