บาฟส์ โชว์ผลการดำเนินงานแกร่ง Q2/2567 กำไรต่อเนื่อง รายได้รวม 831 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.10 บาทต่อหุ้น
BAFS ประกาศผลการดำเนินงาน BAFS Group ไตรมาส 2/2567 โดยมีรายได้รวม 830.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 43.4 ล้านบาท พุ่งทะยานขึ้น 295% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Aviation ท็อปฟอร์มดันรายได้เข้าเป้า สอดรับท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง เคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาทต่อหุ้น 3 ก.ย. นี้
ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยว่า การดำเนินการของ BAFS Group ในไตรมาสที่ 2/2567 ยังคงเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวม 830.6 ล้านบาท โดยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 398.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากธุรกิจกลุ่ม Aviation เป็นหลัก จากภาพรวมกำไรขั้นต้นที่ขยายตัวตามปริมาณน้ำมันอากาศยานที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากการเดินทางทางอากาศยานโดยนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ปัจจัยจากต้นทุนทางการเงินสุทธิที่ลดลง 1% จากการที่กลุ่มบริษัทมีการจ่ายชำระเงินกู้ยืมอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ใน Q2/2567 มีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 43.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 295% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 4%
โครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2/2567 BAFS Group แสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพทางการเงินตามกลยุทธ์ขยายการลงทุนผ่านการดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยมีรายได้อันเป็นรายได้ก่อนหักรายการระหว่างกัน จากกลุ่ม Aviation 664.9 ล้านบาท กลุ่ม Power 70.2 ล้านบาท และกลุ่ม Utilities 108.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากค่าบริการขนส่งน้ำมันภาคพื้นดินและจัดเก็บน้ำมัน ของบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อจำกัด (BPT) ที่เติบโตสูงขึ้นถึง 27% ตามปริมาณขนส่งน้ำมันรวมทุกผลิตภัณฑ์ของโครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือ (NFPT) ทั้งนี้ BPT จะเริ่มดำเนินการต่อเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมันโครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันสระบุรี-อ่างทอง ภายในปี 2567 โดยล่าสุด บาฟส์ ได้ชำระเงินเพิ่มทุน จำนวน 470 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ BAFS เพิ่มขึ้นจาก 71.39% เป็น 74.46%
สำหรับภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีแรก BAFS Group มีรายได้รวม 1696 ล้านบาท กำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 126.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 39% สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2567) ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท เพิ่มขึ้น 25% จากรอบที่ผ่านมา โดยการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 21 สิงหาคม 2567 และให้กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 3 กันยายน 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงและเสถียรภาพการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน